ถ้าจะกล่าวถึงรถกระบะจากค่าย มิตซูบิชิ ล้วนให้การยอมรับในวงกว้างด้วยความทนทานทรหด ความแข็งแกร่งของเครื่องยนต์ส่วนประกอบ การดีไซน์ การใช้งานที่พร้อมลุยทุกอุปสรรคพิสูจน์แล้วจากผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า 4.7 ล้านคน จาก 139 ประเทศ ที่ให้การยอมรับมาตลอดกว่า 4 ทศวรรษ จาก Mitsubishi Aston (เฉินหลง) เจเนอเรชั่นแรก จนถึง มาถึง Mitsubishi Triton เจเนอเรชั่นที่ 5
เมื่อปลายปี 2018 ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นที่แรกของโลกในการเปิดตัว Mitsubishi Triton Big Minor Change หรือรุ่นปรับโฉมครั้งใหญ่ ด้วยดีไซน์ใหม่หมดในร่างเจนปัจจุบัน ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากสิงห์รถกระบะชาวไทยจนล่าสุดในปีนี้กระบะแกร่งลุยทุกอุปสรรคสามารถขึ้นมาสู่ยอดขายอันดับ 3 ในตลาดรถกระบะเมืองไทยได้อย่างเต็มภาคภูมิ แถมกระบะรุ่นนี้มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในระดับโลกของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส โดยมียอดขายอันดับ 2 ต่อจาก Mitsubishi Outlander เอสยูวีพรีเมี่ยม และครั้งนี้ได้นำกระบะแกร่งลุยทุกอุปสรรค กลับมาทำความรู้จักกันอีกครั้ง โดยรุ่นที่นำมาทดลองขับเป็นรุ่นท็อปสุด Double Cab 2.4 GT-Premium 4WD เกียร์อัตโนมัติ
ถึงจะปรับหน้าตามา 2 ปี แต่มีเส้นสายเหลี่ยมคม โฉบเฉี่ยว แถมซ่อนความแข็งแกร่งดุดันไว้ในคันเดียวออกแบบใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์ Rock Solid พร้อมรูปลักษณ์แบบ Advanced Dynamic Shield ที่มีความหนักแน่นลงตัว ด้วยเส้นสายอันดุดันตั้งแต่ฝากระโปรงหน้าลงมาถึงกระจังหน้าอันเป็นเอกลักษณ์พร้อมโลโก้ตราทรีไดมอนด์ประกับไฟหน้าใหม่ Projector Bi-LED และไฟ LED Daytime อยู่ในโคมเดียวกันติดตั้งอยู่บนตำแหน่งที่สูงขึ้นกว่ารุ่นเดิมถึง 100 มม. เข้าเป็นชิ้นเดียวกันด้วยกันชนหน้าดีไซน์เท่ไฟตัดหมอกหน้าที่ออกแบบให้สูงขึ้นกว่ารุ่นเดิมถึง 700 มม. โดยการออกแบบครั้งนี้ทางผู้ออกแบบให้คำตอบว่าเหตุที่ต้องออกแบบไฟหน้าและไฟตัดหมอกหน้าให้อยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นเพื่อผลดีในการมองเห็นชัดขึ้นลดความเสี่ยงจากการขับขี่ฝ่าน้ำท่วมขังหรือถูกหินกระเด็นใส่ตัวรถจนเสียหาย
ด้านข้างเข้มขึ้นมีเหลี่ยมสันด้วยดีไซน์โค้งมนตัดกับเส้นสายเหลี่ยมอันโฉบเฉี่ยวด้วยโป่งล้อขนาดใหญ่ดีไซน์ขึ้นรูปบอกลาคิ้วขอบล้อพลาสติกเสริมครอบเข้าโป่งล้อจากรุ่นที่แล้วพร้อมบันไดข้างเข้ารูปชิ้นเดียว กระจกมองข้างโครเมี่ยมพร้อมไฟเลี้ยวดีไซน์คุ้นเคยจากรุ่น Pajero Sport เน้นความดุน่าเกรงขามสามารถปรับ-พับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมที่เปิดประตูโครเมี่ยมขนาดใหญ่ ล้ออัลลอยมาครั้งนี้ลายทูโทน 6 ก้านคู่ ใหญ่สุด 18 นิ้ว พร้อมยางจาก Bridgestone Dueler H/T ขนาด 265/60 R18 เอกลักษณ์ที่ตกทอดมาจาก Triton เจนที่แล้วนั่นคือเส้นสาย J-Line ออกแบบช่องไฟระหว่างด้านหลังตัวรถและแนวกระบะเป็นแนวทางเดียวกันที่สร้างจุดเด่นมามากมาย ฝากระบะท้ายยังคงดีไซนเดิมเพิ่มเติมด้วยสปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 ไฟท้าย LED พร้อม LED Light Guide ดีไซน์คล้ายกับรุ่น Pajero Sport และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED กันชนหลังดีไซน์เรียบง่ายสีเทาอ่อน โดยติดตั้งกล้องรอบคันไว้ 4 จุด ตั้งแต่ใต้กันชนหน้า กระจกมองข้าง และที่เปิดกระบะท้าย ทำงานร่วมกับ ระบบสัญญาณเตือนกะระยะการจอด หน้า-หลัง ด้านละ 4 จุด (รวม 8 จุด)
มิติตัวรถในรุ่นท็อปสุด Double Cab GT-Premium 4WD ปรับรายละเอียดเล็กน้อยตั้งแต่ความยาว 5,300 มม. (รุ่นเดิมยาว 5,280 มม.) ความกว้าง 1,815 มม. ความสูง 1,795 มม. (รุ่นเดิมสูง 1,780 มม.) ฐานล้อ 3,000 มม. ความสูงจากใต้ท้องรถ 220มม. (รุ่นเดิมสูง 205 มม.) น้ำหนัก 1,960 กก. (รุ่นเดิมน้ำหนัก 1,870 มม.) ความจุถังน้ำมัน 75 ลิตร ส่วนกระบะท้ายของรุ่น Double Cab GT-Premium 4WD ยังมีขนาดเท่าเดิมตั้งแต่ความยาวกระบะภายใน 1,470 มม. ความกว้างกระบะภายใน 1,520 มม. และความสูงกระบะภายใน 475 มม. เรียกว่าขนของเต็มรูปแบบกันเลยทีเดียว
บรรยากาศห้องโดยสารมีการปรับเปลี่ยนเพื่อเข้ากับตัวรถที่ปรับเปลี่ยนไปมาในแนวเคร่งขรึม สุขุมเข้มด้วยห้องโดยสารโทนสีเทา-ดำ เบาะนั่งหุ้มด้วยวัสดุกึ่งหนังแท้สีดำโดยคนขับปรับได้ 8 ทิศทางด้วยระบบไฟฟ้า ส่วนคนนั่งยังปรับด้วยมือ ตัวโครงเบาะยังคงเดิมแต่ปรับรายเละเอียดให้นั่งสบายโอบกระชับขึ้น พร้อมที่ใส่หนังสือหลังเบาะและที่แขวนหลังเบาะคนนั่งด้านหน้า เบาะหลังป็นจุดเด่นที่นั่งสบายสุดในอันดับต้นๆ พร้อมที่วางแขนและที่วางแก้วน้ำในตัว หมอนรองศีรษะ 3 ตำแหน่ง พร้อมที่พักแขนและที่วางแก้วน้ำในตัว เอาใจพ่อบ้านด้วยจุดยึดเบาะเด็ก ISOFIX 2 ตำแหน่งสำหรับติดตั้งเบาะเด็กเพื่อความปลอดภัยและความห่วงใยสำหรับเจ้าตัวเล็ก
แผงคอนโซลหน้าดีไซน์เดิมเพื่อเข้ากับการปรับโฉมครั้งนี้จึงเนรมิตดีไซน์คอนโซลกลาง คอนโซลเกียร์จนถึงที่เท้าแขนให้ลบภาพเดิมของ Triton รุ่นก่อนปรับโฉม เริ่มที่แผงช่องแอร์ซ้าย-ขวาใหญ่ขึ้นขึ้นประดับด้วยปุ่มการใช้งานง่ายกว่า ประณีตขึ้นด้วยวัสดุ Soft Touch ผิวสัมผัสดำเดินด้ายขวาบุนุ่มตัดเย็บที่บริเวณคอนโซลเกียร์ กล่องคอนโซลกลางพร้อมที่วางแขนและเบรกมืออย่างพิถีพิถัน พร้อมช่องวางของและช่อง USB 2 จุดสำหรับด้านหลังกล่องที่เท้าแขน ถึงจะมีการปรับในส่วนคอนโซลกลางให้ดูดีที่สุดเลยแก
พร้อมอออชั่นเดิมยกชุดจาก Triton รุ่นก่อนปรับโฉมทั้ง เครื่องเสียง 2 DIN พร้อมจอสัมผัส 7 นิ้ว เล่น DVD ระบบนำทางพร้อมช่องเสียบ USB การใช้งานอาจจะเอาท์ไปหน่อยเพราะไม่รองรับ Apple car Play และ Android Auto แถมหน้าจอยังเล็กกว่าคู่แข่งที่เขาให้มาตั้งแต่ 8-10 นิ้ว เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ Dual-Zone แยกอุณหภูมิอิสระซ้าย-ขวา จะบอกว่าเป็นเจ้าแรกของไทย ที่ข่องแอร์ด้านหลังย้ายตำแหน่งมาที่บนเพดานหลังคารถขึ้นรูปบุกำหมะหยี่พร้อมแผงควบคุมบนหลังคาให้ความเย็นสบายในอีกรูปแบบ มาตรวัดเรืองแสงคราวนี้ชัดเจนขึ้นด้วยระบบกับจอแสดงข้อมูล MID จอสี 3 มิติ และข้อความภาษาไทย พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นทรงเดิม 4 ก้านสามารถปรับระดับได้ 4 ทิศทาง ทั้งสูง-ต่ำ กับ เข้า-ออกได้เช่นเดิม พร้อมออดิโอสวิตช์ควบคุมการทำงานต่างๆทั้ง ปุ่มควบคุมการทำงานเครื่องเสียง ในด้านซ้ายและปุ่ม Cruise Control ในด้านขวา เพิ่มปุ่มควบคุมการทำงานของมาตรวัดแสดงจอ MID และปุ่มรับโทรศัพท์และที่ขาดไม่ได้คือ กุญแจอัจฉริยะ KOS แค่กดปุ่มสีดำเล็กๆจากก้านที่เปิดประตูก็สามารถปลดล็อกได้สบายๆ พร้อมปุ่ม Push Start สะดวกในการสตาร์ทรถ
แฟนๆค่ายรถทรีไดมอนด์จะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีและยังเป็นเอกลักษณ์เด่นในรถยนต์ Mitsubishi ทุกรุ่นจนถึง Mitsubishi Triton Double Cab GT-Premium 4WD กับระบบ ETACS หรือ Electronic Time and Alarm Control System ระบบอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยอัจฉริยะให้เป็นออพชั่นมาตรฐาน ทั้ง ใบปัดน้ำฝนหน้าปรับความเร็วเป็นจังหวะที่ 1 อัตโนมัติ (ตั้งปัดเป็นจังหวะ) เมื่อถึงความเร็วที่กำหนด และกลับมาที่ตำแหน่งเดิมเมื่อความเร็วลดลง หรือหยุดรถ, ระบบสัญญาณไฟเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนเลนเพียงขยับก้านไฟเลี้ยวเพียงเล็กน้อย สัญญาณไฟเลี้ยวจะกะพริบ 3 ครั้ง, สัญญาณเสียงเตือนลืมปิดไฟหรี่, ระบบหน่วงเวลาเปิด-ปิดกระจกไฟฟ้าหลังดับเครื่องยนต์กระจกไฟฟ้าจะทำงานภายใน 30 วินาที ก่อนเปิดประตู, ระบบไฟนำทางหลังดับเครื่องยนต์, ระบบตัดการทำงานไฟหน้าอัตโนมัติหลังจากดับเครื่องยนต์แล้วเปิดประตู ระบบจะปิดไฟหน้าโดยอัตโนมัติ แต่ระบบหน่วงเวลาจะปิดไฟในห้องโดยสารภายใน 15 วินาที, ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ เมื่อรถมีความเร็วตั้งแต่ 15 กม./ชม., ระบบไฟกระพริบฉุกเฉินอัตโนมัติ และระบบเซ็นทรัลล็อก เป็นต้น
ระบบความปลอดภัยนอกจาก ถุงลมนิรภัย 7 จุดรอบคัน ระบบเบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบควบคุมการทรงตัวและป้องกันล้อหมุนฟรี ASTC ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist System (HSA) ยังมีระบบปลอดภัยไฮเทคยกชุดมากจาก Mitsubishi Pajero Sport ที่หาไม่ได้ในรถระดับเดียวกันทั้ง ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว Forward Collision Mitigation System (FCM) ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว Ultrasonic Misacceleration Mitigation System (UMS) ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตาพร้อมระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน Blind Spot Warning With Lane Change Assist (BSW with LCA) ระบบปรับไฟสูง-ต่ำ อัตโนมัติ Automatic High Beam (AHB) ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด Raer Cross Traffic Alert (RTCA)
ปรับโฉมทั้งทีแต่ขุมพลังเหมือนเดิมกับเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบแปรผัน VG Turbo รหัส 4N15 MIVEC Clean Diesel 2.4 ลิตร ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 2,442 ซีซี. ความกว้างกระบอกสูบ X ช่วงชัก 86.0 X 105.1 มม. อัตราส่วนกำลังอัด 14.9:1 ให้กำลังสูงสุด 181 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 2,500 รอบ/นาที ข้อมูลโรงงาน ปล่อย CO2 ที่ 202 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองในเมืองทำได้ 11.36 กม./ลิตร นอกเมือง 14.49 กม./ลิตร และเฉลี่ย 13.16 กม./ลิตร จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ลูกใหม่ (แทนลูกเดิม 5 สปีด) พร้อมระบบ Sport Mode +/- ในกรณีที่ต้องการเร่งแซงสามารถและยังมี Paddle Shift หลังพวงมาลัย เพิ่มความสนุกในการขับขี่มากขึ้นดุจรถสปอร์ตสมรรถนะสูง และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Super Select 4WD II
ถึงแม้จะเป็นร่างเดิมแต่แต่งหน้าทาปากใหม่ความแรงระดับ 181 แรงม้า มีบุคลิกที่ไม่เปลี่ยนคือมาเรื่อยๆไม่หวือหวาแบบกระชากหลังติดเบาะ มีหน่วงอยู่นิดหน่อยตอนเร่งแซงกดคิ๊กดาวน์ไป 100 % (แต่ถ้ากดคิ๊กดาวน์ไป 50 % มีเรี่ยวแรงที่จะแซงได้) ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะรอบของแรงบิดที่มาสูงตั้งแต่ 2,500 รอบ/นาที แต่ถ้าช่วงความเร็วปลายมาแบบไหลต่อเนื่อง การขับขี่อาจถูกใจคนเท้าหนัก แต่ต้องเหล่สายตามามองมาตรวัดกันสักหน่อยนะครับอย่าเผลอไปเร่งความเร็วเพลิน อาจมีใบสั่งส่งมาถึงบ้านก็เป็นได้ ส่วนขึ้นเขาด้วยแรงบิดระดับ 430 นิวตันเมตร พาตัวรถไต่เขาได้สบายแม้กระทั่งการเร่งแซงบนเนินขึ้นก็ตาม การใช้งานปกติขับขี่ในเมืองให้การตอบสนองที่ค่อนข้างไวและดีในระดับหนึ่งถึงไม่แรงเท่าคู่แข่งตัวเอ้จากเชื้อชาติเดียวกันหรือฝากอเมริกา รอบเครื่องยนต์ในช่วงความเร็ว 90 -120 กม./ชม. ทำผลงานสูงสุดไม่ถึง 2,000 รอบ/นาที ด้วยรอบตั้งแต่ 1,450 1,600 1,800 และ 1,900 รอบ/นาที (ในเกียร์ 6) ตามลำดับ ด้าน Performance Test ทำผลงานค่อนข้างพอใจ จากจุดหยุดนิ่งไปแตะถึง 100 กม./ชม. ทำได้ 10.94 วินาที และ 80-120 กม./ชม. ทำได้ 7.21 วินาที
การเก็บเสียงทำผลงานได้ดีเช่นเดิม เมื่อขับขี่ทางเรียบ การเก็บเสียงเงียบมากในช่วงความเร็ว 80-120 กม./ชม. แต่ช่วงความเร็วสูงๆตั้งแต่ 130 กม./ชม. มีเสียงลมเข้ามาปะทะบ้างนิดหน่อย แต่ภาพรวมถือว่าให้ความเงียบเท่ากับรุ่นก่อนปรับโฉม ถึงแม้จะมีอุปกรณ์ดูดซับเสียงตามจุดต่างๆในห้องเครื่องยนต์ พื้นที่ใต้ห้องโดยสารบริเวณฐานเกียร์ บังโคลนหน้ารถ และในห้องโดยสาร ที่ บริเวณคอนโซลหน้าและคอนโซลกลาง
เกียร์อัตโนมัติลูกใหม่แบบ 6 สปีด จะมีอาการที่แปลกๆ ตอนช่วงขับความเร็ว 90 กม./ชม. เกียร์ยังคาอยู่ที่เกียร์ 5 ทำให้รอบเครื่องสูงขึ้นถึงเกือบ 1,800 รอบ/นาที ทำให้ต้องตบเข้าเกียร์ 6 ตั้งแต่ความเร็ว 100 กม./ชม. เพื่อลดกำลังของรอบเครื่องและเพื่อความประหยัดน้ำมัน แต่การใช้งานปกติตอบสนองไวเข้าเกียร์ราบรื่นไม่กระตุก แต่ถ้าอยากสนุกมาดขึ้นยังมี Paddle Shift ก้านเหนี่ยว 2 ข้างหลังพวงมาลัยใช้งานกันอย่างสนุกสนาน
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Super Select 4WD II เป็นเทคโนโลยีเดียวกันกับรุ่น Pajero Sport นำระบบ Part -Time และ Full-Time เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งจะมีทั้ง 2H, 4H, 4HLc และ 4LLc เมื่อลองเข้า 4H ระบบส่งกำลังจะถ่ายทอดกำลังเครื่องไปยังล้อหน้า 40 % และล้อหลัง 60 % ทำให้ การทรงตัว ยึดเกาะถนน ในสภาพโหดๆ ได้อย่างสบายมาก นอกจากนี้เพิ่มฟังก์ชั่น Off Road Mode แบ่งเป็นสี่โหมดสำคัญ ได้แก่ Gravel , Mud/ Snow , Sand และ Rock (ในตำแหน่ง 4LLc - ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วต่ำเท่านั้น) สำหรับการขับขี่ในเส้นทางหนักโหดสไตล์ Off-Road ติดตั้งเฟืองท้ายแบบ Diff-Lock หรือ ระบบล็อกเพลาหลังควบคุมด้วยไฟฟ้าช่วยให้ผ่านเส้นทางสุดโหดของการขับขี่ Off-Road
ระบบช่วงล่างยังเป็นด้านหน้าแบบอิสระปีกนกคู่พร้อมคอยล์สปริงพร้อมเหล็กกันโคลงหน้า และด้านหลังแบบแหนบแผ่นซ้อนโช้คอัพไขว้ Leaf Springs จากบุคลิกเดิมที่หนึบมาก่อน แต่มาเป็นรุ่นปรับโฉมกลับสลับกันกลายเป็น นุ่มนวลมาก่อน หนึบตามหลัง แต่เข้าโค้งยังคมกริบ ไม่มีออกอาการหน้าลื่น้ทายปัดแต่อย่างใด พร้อมฟังก์ชั่นที่เกี่ยวเนื่องการขับขี่ทั้งแบบ On-Road และ Off-Road ทั้งระบบควบคุมการทรงตัว (ASC) ระบบควบคุมความเร็วขณะขึ้นทางลาดชัน Hill-Start Assistant และระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน Hill Descent Control (HDC) จับอาการหน่วงได้ดี ไม่มีอาการกระตุกขณะระบบทำงาน ถือว่าดีอันดับต้นๆในกลุ่มรถกระบะเมืองไทย พวงมาลัยพาวเวอร์ แร็คแอนด์พีเนี่ยนแบบน้ำมัน ที่ให้ความคมในการบังคับควบคุม การเปลี่ยนเลนแม่นยำ คมในการบังคับควบคุม เช่นเดิม พร้อมรัศมีวงเลี้ยวที่แคบ 5.9 เมตร โดยยังเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มาตั้งแต่สมัย Triton ก่อนปรับโฉม น้ำหนักพวงมาลัยอยู่ในเกณฑ์ปานกลางแบบ ผู้ชายขับได้ ผู้หญิงขับดี ด้านระบบเบรกใช้ดิสก์เบรกล้อหน้าขนาดใหญ่ขึ้นเดิม พร้อมคาลิปเปอร์ 2 Pot ให้ความทันใจในการเบรก ในช่วงเหยียบแป้นเบรกไปแล้วประมาณ 20-30 %
ปิดท้ายด้วยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันจากโปรแกรม Save Mode ทำได้ 12.59 กม./ลิตร จากระยะทางรวม 61 กม.จัดน้ำมันเต็มถังจากปั๊มแถว ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ 4.83 ลิตร ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ตามสภาพการใช้งานจริง การใช้งานนอกเมืองได้ตัวเลขสิ้นเปลืองที่ 10.26 กม./ลิตร โดยที่ได้ตัวเลขมาขนาดนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากระบบ สตาร์ท-ดับเครื่องยนต์อัตโนมัติแบบอัจฉริยะ Auto Stop & Go โดยระบบจะดับเครื่องยนต์เฉพาะเมื่อรถหยุดการเคลื่อนที่เมื่อรถหยุดไฟแดงนานสุด 1 นาที ช่วงการทำงานนั้น บรรดาเครื่องปรับอากาศกับวิทยุเครื่องเสียงยังทำงานตามปกติ แต่ถ้าไม่ปรารถนาที่จะใช้ถ้ารำคาญว่าเดี๋ยวติดเดี๋ยวดับในชั่วขณะระบบนี้ก็สามารถกดปุ่มยกเลิกระบบได้เช่นกัน
Mitsubishi Triton Double Cab 2.4 GT-Premium 4WD ปรับหน้าตาให้ทันสมัยล้ำยุคสไตล์ Advanced Dynamic Shield ผสมกันระหว่างรุ่น Pajero Sport กับ Xpander จนลงตัว ให้ความหรูแกร่งลงตัว ดีไซน์ที่เฉียบคม บ่งบอกความเป็นดีเอ็นเอ ของ มิตซูบิชิ อย่างเต็มรูปแบบ ถึงจะเปิดตัวมา 2 ปีแล้วก็ตาม ออพชั่นความสะดวกสบายให้ความกว้างขวางนั่งสบายออพชั่นเต็มคัน ถึงขุมพลังไม่ปรู๊ดปร๊าดในตอนต้นแต่ไหลยาวๆในความเร็วปลายจนอาจลืมไปแล้วว่าขับที่ความเร็วใดถ้าไม่เหล่ตาไปมองที่มาตรวัด ช่วงล่างนุ่มนำหนึบตาม พวงมาลัยคม เก็บเสียงเยี่ยม กับราคา 1.1 ล้านทอนพันนึง (1,099,000 บาท)
มิตซูบิชิ ไทรทัน 2024: Mitsubishi Triton Double Cab GT-Premium 4WD กระบะล้ำหน้า ออพชั่นล้ำยุค อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.checkraka.com/car/mitsubishi/triton/